Review : แพทย์ วพม. (ภาคต่อ) - ฉบับปรับปรุง :)
สวัสดีทุก ๆ คนอีกครั้งนะครับ ผมเป็น DEK63 ที่เข้าแพทย์พระมงกุฎ ซึ่งตอนที่ผมอยู่ชั้นปีที่ 1 (ที่วพม. จะเรียกว่านิสิตเตรียมแพทย์) ก็ได้มีโอกาสได้ตั้งกระทู้หนึ่งขึ้น (สามารถเข้าไปอ่านได้ที่นี่)
https://www.dek-d.com/board/view/4014641/
ซึ่งก็จะเป็นการรีวิวเรื่องราวต่าง ๆ ของวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า สมัยผมเรียนอยู่ชั้นปีที่ 1 แต่คิดว่ารุ่นน้อง ๆ ผมตอนนี้จะเรียนหลักสูตรใหม่ทั้งหมด ซึ่งจะแตกต่างกับรุ่นของผมมาก ๆ ทั้งวิชาเรียนในตอนปีที่ 1 รวมถึงชั้นพรีคลินิก (ชั้นปีที่ 2-3) ครับ
แต่ในวันนี้ ผมเหมือนมาตอบคำถามตัวเองอีกครั้งตอนที่ผมอยู่ชั้นปีที่ 1 เมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 4 ปี (ตอนนี้ผมเรียนอยู่ชั้นคลินิก) ว่าประสบการณ์ที่ผมได้รับตอนชั้นปี 2-4 นั้นเป็นอย่างไรบ้าง เหมือนที่เราคิดไว้ไหม เหนื่อยหรือไม่ตอนฝึก เรียนวิชาแพทย์เป็นอย่างไร เมื่อก้าวข้ามผ่านชั้นพรีคลินิกไปยังชั้นคลินิกแล้วเป็นอย่างไร (ช่วงนี้เป็นช่วงที่น้อง ๆ กำลังจะเลือกคณะ และ ผมใกล้้จะปิดเทอม และ เพิ่งสอบเสร็จพอดี จึงมารีวิวภาคต่อให้ครับ)
ในชั้นปีที่ 2 อย่างที่หลาย ๆ คนก่อนหาข้อมูลว่าเป็นปีที่มีการฝึกที่ค่อนข้างหนัก (สำหรับคนที่ร่างกายไม่แกร่งแบบผมก็จะรู้สึกมันหนักแหละครับ) หลังฝึกผมก็ยังรู้สึกกับตัวเองว่ามันผ่านไปได้อย่างไร ตอนฝึกถ้าว่ากันแบบตรงไปตรงมาก็คงมีหลาย ๆ อย่างที่รู้สึกกับตัวเองว่าเราทำไปทำไม ? มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำ แต่หลังฝึก ณ ตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยเข้าใจในจุด ๆ นี้จนถึง ชั้นปีที่ 3 จะมีสถานะในวพม. ที่เรียกว่า "หมวกดำ" ที่จะคอยมีหน้าที่คุมน้อง ๆ ในการฝึกก็เริ่มเข้าใจในบริบทของการฝึกว่ามีจุดประสงค์อย่างไร มีเหตุผลในการฝึกหนัก ๆ อย่างไร (แต่ว่ากันตรงไปตรงมา - หลาย ๆ อย่างก็อาจจะไม่มีเหตุผลอยู่ดีสำหรับความคิดของผมนะ) แต่รุ่นพี่ ๆ ผมตอนฝึกก็ได้บอกแนวคิดว่า ในชีวิตของเราจริง ๆ หลาย ๆ อย่างมันก็อาจจะไม่มีเหตุผลเลย หรือ หงุดหงิดกับเรื่่องต่าง ๆ ที่อาจจะไม่ค่อยเป็นเรื่องมาก แต่เราเองก็ต้องปรับตัวกับมันก็ได้
สำหรับเรื่องการเรียนตอนปี 2 (โชคดีที่รุ่นผมเทอมแรกเรียนแบบออนไลน์) ผมเลยเก็บความรู้ได้ค่อนข้างเต็มที่เทอมที่ 2 ที่เรียนแบบ On-Site (และมีช่วงนึงที่ตอนนั้นเรียนไปด้วย ฝึกไปด้วย)
ในชั้นปีที่ 3 เป็นปีที่ทุก ๆ คนที่เรียนแพทย์ทราบกันดีว่าจะมีการสอบ NL1 (ใบประกอบวิชาชีพขั้นตอน ที่ 1) ซึ่งก็ต้องมีการเตรียมตัวอ่านหนังสือ หรือ ตั้งใจในห้องสม่ำเสมอครับ ผมคิดว่าเป็นปีที่มีเวลาส่วนตัวมากขึ้นมากพอสมควรแต่ก็ต้องมาพร้อมความรับผิดชอบที่มากขึ้นเช่นเดียวกัน เพราะจะต้องไปคุมน้อง ๆ ชั้นปีที่ 2 ในการฝึก (โดยจะมีพี่ชั้นปีที่ 5 และ นายทหารปกครอง คอยกำกับดูแลอีก Step ครับ) รวมถึงเป็นพี่ที่มีกิจกรรมเข้ามาเรื่อย ๆ และช่วงท้าย ๆ ของปีก็ต้องมีการสอบใบประกอบวิชาชีพ ซึ่งตัวผมเองก็ไม่ได้เรียนดีเด่นอะไรมากก็ต้องพยายามและเหนื่อยมากครับกว่าจะสอบผ่าน
ผมมองว่าชีวิตชั้นปีที่ 3 ก็เป็นอะไรมีสีสันและมีความหลากหลายดีครับ (เพราะตัวผมเองก็ทำกิจกรรมกับองค์กรภายนอก เช่น สพท. ด้วยครับ) เป็นปีที่มีอิสระมากขึ้น
ในชั้นปีที่ 4 จะต้องเกริ่นก่อนว่าผมเรียนหลักสูตรเก่าเป็นปีที่สุดท้ายซึ่งจะเรียนไม่เหมือนกับ รุ่นน้อง DEK67 ที่เข้ามา ผมจึงขออนุญาตรีวิวในการเรียนบนโรงพยาบาลว่าเป็นอย่างไร ของผมในชั้นปีที่ 4 จะมีเรียนหลัก ๆ 5 วอร์ด คือ อายุรกรรม ศัลยกรรม กุมารเวชศาสตร์ สูตินรีเวชศาสตร์ และ จิตเวช ซึ่งเป็นปีที่ผมบอกว่าค่อนข้างหนักมาก ๆ อยู่ครับเพราะว่าเราต้องตื่นเช้า ๆ มาดูแลผู้ป่วยที่เราได้รับเคสและเรียนรู้พร้อมไปกับมันซึ่ง เราจะต้องใช้สมองและใช้แรงกับมันทุก ๆ วันซึ่งจะทำให้ล้าได้ (บางวอร์ดก็กลับค่อนข้างดึกออกมาโรงพยาบาลก็มืด) รวมถึงในแต่อาทิตย์ที่เราจะต้องมีเขียนรายงาน (เขียนมือ) ซึ่งมืออาจจะชา และ เมื่อยได้เหมือนกันครับ แต่ในการเรียนคลินิกค่อนข้างมีการเรียนรู้ที่หลากหลาย และ ผมมองเป็นปีที่ผมได้ความรู้จากอาจารย์ รวมถึงพี่ Fellow และ Resident ที่เราราวน์พร้อมกันซึ่งเราก็จะมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนพูดคุยความคิดเห็นกัน (หรือในวงแพทย์บางทีและบางครั้งเขาก็จะเรียกว่าการโดนซอย = โดนถามไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุดจนกว่าเราตัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องกระตุ้นความคิดของตนเองตลอดเวลา) ส่วนตัวผมชอบการเรียนบนคลินิก เพราะเราได้มีมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้ป่วย สอบถามอาการในแต่ละวัน การ Advice คนไข้ หรือแม้แต่พูดคุยเรื่องจิปาถะ กับผู้ป่วยครับ อีกทั้งในชั้นนี้ก็มีการอยู่เวร (ซึ่งก็ทำให้เราเหนื่อยมากกว่าเดิม 555)
แต่ในสถาบันของผมนอกจากการราวน์วอร์ดหรือเรียนแล้ว แล้วยังการฝึก กฝร.พตท. ในช่วงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ ซึ่งก็ฝึกแนว ๆ การเป็นแพทย์ทหาร / นายสิบพยาบาล - การขนผู้ป่วย หรืองานใด ๆ (ซึ่งบางคนก็อาจจะไม่ชอบได้ครับ เพราะอากาศตอนฝึกมันร้อนครับ - นอกจากเรียนแล้วต้องมาฝึกหรอเนี่ย)
ก็เป็นการรีวิวฉบับภาคต่อของผมหลังจากที่ขึ้นมาในชั้นปีที่สูงขึ้น เราได้เห็นมุมมองการชีวิตในการเรียนแพทย์ที่มากขึ้นส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไรก็คงต้องรอดูครับ แหะ ๆ
ถ้าหากมีรุ่นน้อง หรือ รุ่นพี่เห็นกระทู้นี้ก็สามารถเข้ามาแสดงความคิดเห็นในมุมมองของตนเองที่เจอได้ครับ เพราะคิดว่าแต่ละคนมีความคิดที่ไม่เหมือนกันแน่นอนครับ
เป็นกำลังให้น้อง ๆ DEK67 ทุก ๆ คนให้สมหวังกับคณะที่ตนเองเลือกนะครับ (ผมเองก็มีน้องเป็น DEK67 เช่นเดียวกัน) ตัวพี่เองเห็นข้อสอบแก้ไปแก้มา เห็นแล้วก็เหนื่อยใจแทนครับ (ว่าทำไมข้อสอบมันเฉลยผิด ไม่ให้ค่าคงที่ บลา ๆ ได้ขนาดนั้น)
ถ้าหากผมคำถามสงสัยเกี่ยวกับการเข้าที่นี่ก็แอบ INBOX เข้ามาถามเพิ่มเติมได้เลยครับ :)
นี่คือ Review : แพทย์ วพม. (ภาคต่อ) - ฉบับปรับปรุง :) ของผมเองครับ
ปล. ถ้าอยากเห็นภาพการเรียนมากขึ้นของที่นี่ สามารถติดตามรุ่นน้องผมได้ที่นี่ครับ
1 ความคิดเห็น
ในฐานะทีมีลูกเรียนอยู่วพม.
ก็จริงตามที่บ่น ๆ กันคับ พอขึ้นปี 2 เข้ารับการฝึกนักเรียนใหม่ มันก็หนัก ต้องอดทนกับกฏระเบียบ ลูกก็ไม่ใช่พวกเล่นกีฬา หรือ พวกชอบออกกำลังกาย แต่พอปรับตัวได้แล้วก็เห็นเค้าอยู่สบาย ๆ นะครับ เรียนหนักเป็นเรื่องปรกติของนักเรียนแพทย์ทุกมหาลัยอยู่แล้ว ผมว่าการฝึกนักเรียนใหม่มันหนักก็จริง แต่รุ่นพี่ก็ไม่ได้เอาเป็นเอาตายขนาดนั้นนะครับ มีการผ่อนหนักผ่อนเบาอยู่ตลอดเวลา มันก็ยังคงเหนื่อยละคับ แต่ในอีกมุมนึงก็ได้อยู่กับเพื่อน ๆ ลำบากไปด้วยกัน มันมีความสนุกอยู่ในความลำบากอยู่ด้วย อายุก็น่าจะเป็นช่วงที่ร่างกายดีสุดของคนเรา แถมยังแวดล้อมไปด้วยหมอ หากมีปัญหาเรื่องสุขภาพหรือเกิดอุบัติเหตุ เราก็เบาใจได้ว่าสามารถรักษาแก้ไขได้ทันท่วงที รพ.ก็อยู่แค่เอื้อม พวกพี่ ๆ ก็ล้วนเป็นหมอกันทั้งสิ้น ......พอผ่านช่วง 8-10 สัปดาห์ของการฝึกไปแล้ว จิตใจก็ดีขึ้น ร่างกายก็ดีขึ้น กฏระเบียบจะค่อยๆ ผ่อนคลายลง ชีวิตความเป็นอยู่ก็จะง่ายขึ้นไปเรื่อย ๆ
ผมชอบเวลาเค้าอยู่กับเพื่อน ๆ นะครับ คือ เค้าสนิทกันจริง ๆ - กู กันหมด พวกรุ่นพี่ก็เอ็นดูน้องๆ กันดี
พอขึ้นปี 4 ก็ใช้ชีวิตเหมือน นศพ ที่อื่นๆ แล้ว ข้อดีคือ เมื่อเรียนจบ 6 ปี โอกาสเรียนต่อเฉพาะทาง น่าจะถือว่ามากกว่า วิทยาลัยแพทย์ อื่น ๆ หลายแห่ง เพราะ รพ.พระมงกุฏ เป็น รพ.ใหญ่ น่าจะมีครบทุกสาขา การเรียนต่อเด็กลูกหม้อจะได้สิทธิเข้าเรียนมากกว่า นศพ ที่จบมาจากที่อื่น ส่วนตัวผมว่าเหนื่อยตอนฝึักนักเรียนใหม่ แต่สิ่งที่ได้หลังจากนั้นคุ้มคับ เดี๋ยวนี้เวลาเค้าไปไหนที่ความเป็นอยู่ลำบาก แบบเข้าค่าย หรือ ต้องไปใช้ทุนไกล ๆ ก็คงไม่ต้องคอยห่วงเหมือนเมื่อก่อน
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?